วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

สิ่งที่ควรมีตลอดชีวิต (รับปีใหม่กันจ้า).....


ใกล้จะปีใหม่เข้ามา ในเมื่อสิ่งที่ตั้งใจไว้ปีที่แล้วว่าจะทำ แต่ไม่ได้ทำ ก็ยังไม่สายหากจะเริ่มต้นใหม่ในปีหน้านี้นะคะ เจอข้อคิดดีๆ เลยเอามาฝากให้อ่านไว้เตือนใจ หากทำไม่ได้ครบทั้ง 100 ข้อ แต่เป้าหมายที่ 50 ก็ยังดีนะคะ


( 1 ) เอาใจเขามาใส่ใจเรา ( 2 ) เชื่อมั่นตัวเอง( 3 ) อย่ามองคนที่หน้าตา ( 4 ) กล้าคิด พูด และทำ


( 5 ) เมื่อมีเรื่องจงหมั่นปรึกษาผู้อื่น ( 6 ) และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย ( 7 ) อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด


( 8 ) ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ ( 9 ) เปิดใจให้กว้าง ( 10 ) มองการณ์ไกล ( 11 ) วางแผนอนาคต


( 12 ) อย่าโทษตัวเอง ( 13 ) มีความรับผิดชอบ ( 14 ) ตอบแทนเมื่อได้รับ ( 15 ) ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้หรือไม่มี


( 16 ) อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด ( 17 ) คิดถึงส่วนรวมให้มาก( 18 ) ดูแลตัวเองให้เป็น ( 19 ) รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
( 20 ) อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า( 21 ) อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว ( 22 ) จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร


( 23 ) ที่ทำอยู่มีผลดี / เสีย มีประโยชน์ / ไร้ประโยชน์ ( 24 ) อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก ( 25 ) ให้อภัยแก่ตนเอง และ ผู้อื่น


( 26 ) อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน ( 27 ) คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร ( 28 ) ได้หน้าอย่าลืมหลัง


( 29 ) คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึกที่เสียไปแล้ว แต่จงวางแผนที่จะดูแลไม่ให้มันเสีย ( 30 ) อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ




วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550

การเลือกตั้ง ฉบับการ์ตูน



















ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส




แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา




โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ




ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550


Tricycle



Le tricycle est un cycle à 3 roues.
Pour ce qui est des vélos classiques (vélos droits), le tricycle est surtout connu en tant que vélo d'enfant pour débuter. Il existe cependant des
tricycles utilitaires qui transportent de lourdes charges, ils sont utilisées pour la livraison en ville. En matière de vélo couché le tricycle est bien plus valorisé : c'est un vélo couché à 3 roues très bas, utilisé surtout pour créer une vélomobile, ou pour l'utilisation handisport.
Dans cet article, nous traitons principalement du vélo couché.Autres noms communs : Trike






Généralités






La construction doit être soignée pour éviter un décalage dans la direction lors de l'utilisation des freins et du pédalage. La géométrie doit être bien étudiée.




Dimensions et poids




Les dimensions de tricycles couchés habituellement oscillent entre 160 et 200 cm de long pour 70 à 85 cm de large. Leur poids se situe entre 12 et 20 kg. Un poids de 16 kg est un poids "normal" ou habituel pour un tricycle
คำศัพท์
tricycle (n.m) รถจักรยานสามล้อ
roue (n.f) ล้อ, ล้อรถ, ยวดยาน, กงจักร
transporter (v.t) ขนส่ง, ลำเลียงไป ,โยกย้าย
utilitaire (a.) ที่ถือแต่ประโยชน์เป็นสำคัญ
(n.) คนถือประโยชน์เป็นใหญ่
couché,e (a.) ที่เอียง, เอน ,ราบ

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Ordinateur


Un ordinateur est une machine informatique. C'est un ensemble de circuits électroniques permettant de manipuler des données sous forme binaire, ou bits ; Cette machine permet de traiter des informations selon des séquences d'instructions prédéfinies ou programmes. Elle interagit avec l'environnement grâce à des périphériques (écran, clavier, modem...).

Historique

Le mot ordinateur fut introduit par IBM France en 1955. François Girard, alors responsable du service publicité de l'entreprise, eut l'idée de consulter son ancien professeur de lettres à Paris, Jacques Perret, afin de lui demander de proposer un mot caractérisant le mieux possible ce que l'on appelait vulgairement un calculateur (traduction littérale du mot anglais « computer »). Ce dernier proposa « ordinateur », un mot tombé en désuétude désignant anciennement un ordonnateur, voire la notion d'ordre écclésiastique dans l'église catholique (ordinant)[1]. Notons que le professeur suggéra plus précisément « ordinatrice électronique », le féminin ayant pu permettre, selon lui, de mieux distinguer l'usage religieux de l'usage comptable du mot...[2]
Le premier ordinateur fonctionnant en langage binaire fut le
Colossus, conçu lors de la 2e guerre mondiale. A la fin de la guerre, il fut démonté et caché à cause de son importance stratégique. L'ENIAC, son homologue américain créé en 1945, fut donc considéré pendant plusieurs années comme le premier ordinateur, avant que l'existence du vieillissant Colossus fut révélée.

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ที่มาของปาท่องโก๋คนไทย

วันนี้เกร็ดความรู้มีที่มาของปาท่องโก๋คนไทย มาฝากกัน...


ประเทศจีนราวปี พ.ศ. 297 “ใจก๊วย” เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าชิวั่งตี่ มีหน้าที่คอยกราบทูลแนะนำสิ่งต่าง ๆ ถวาย ได้รับหนังสือลับจากกองทัพตาด ให้กราบทูลแนะนำกษัตริย์ให้ยอมแพ้แก่ตาดจะปูนบำเหน็จให้ ด้วยความโลภใจก๊วยจึงทำตาม


กองทัพตาดจึงเข้าเมืองได้ เณรเทศพระเจ้าพระเจ้าชิวังตี่ออกนอกประเทศ แล้วแต่งตั้งใจก๊วยเป็นกษัตริย์ขูดรีดจากประชาชนกังฟู(ขุนพลของพระเจ้าชิวั่งตี่)จึงรวบรวมผู้คนยกทัพเข้าตีเมืองหลวงได้ ครั้นกังฟูสิ้นชีวิตลง ชาวจีนระลึกถึงคุณงามความดี พร้อมใจสร้างศาลเจ้าเพื่อสักการะบูชา พร้อมกับรูปปั้นใจก๊วยไว้หน้าประตูศาลเจ้า


ทุกวันที่ชาวจีนไปสักการะในศาลเจ้าของกังฟู จะเขกศรีษะรูปปั้นใจก๊วยทุกคนนานเข้ารูปปั้นหดเหลือแค่คอ เพื่อลงโทษให้สาสมจึงได้คิดทำขนมใช้แป้งปั้นเป็นตัวใจก๊วยไม่มีคอ ทอดน้ำมันกำลังเดือด ขนมชื่อ" อิ้วใจก๊วย" (ใจก๊วยถูกทอดในน้ำมัน)


เมื่อขนมชนิดนี้เข้าในสมัยรัชกาลที่ 6 ใหม่ ๆ มีซิ้มแก่ ๆ หาบขนมนี้มาขายพร้อมกับปาท่องโก๋(มีลักษณะคล้ายซาลาเปา แต่มีงาโรยหน้า) ปากก็ร้องขายขนมปาท่องโก๋


คนไทยซื้อขนมอิ้วใจก๊วยมารับประทาน โดยคิดว่าชื่อปาท่องโก๋เลยเรียกขนมชนิดนี้ว่า "ปาท่องโก๋" ติดปากมาจนทุกวันนี้


นี่ก็คือที่มาของ “ปาท่องโก๋” ที่ทานกันเป็นประจำ.

เฮ้....เฮี้ยว
วันนี้กลับมาจากการเข้าค่ายธรรมะแล้วคะ หลังจากได้เข้าค่ายแล้วรู้สึกดีและมีความสุขมากขึ้น เข้าใจถึงสิ่งต่างๆมากขึ้น ต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่ได้จัดกิจกรรมที่ดีแบบนี้คะ อาหารที่เข้าค่ายอร่อยมากมีให้ทานเยอะมาก มีอาหารว่างให้ทานจนอิ่มแบบว่าสะกดคำว่า"หิว"ไม่เป็นเลยหละอาจารย์ดูแลพวกเราดีมากจนสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นได้
สุดท้ายต้องขอบอกเลยว่า คุ้มจริงๆที่ได้มาเข้าค่ายนี้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

เหตุผลที่ไม่อยากไปเยี่ยมบ้านคนรวย




ฉาก : ห้องรับแขกโซฟาหนังแท้เครื่องเรือนเป็นประกายแสบตา)

(ตัวละคร : ป๋ม กับเพื่อนเศรษฐี)

เพื่อน : นายจะดื่มอะไร น้ำผลไม้ โซดา ชา โกโก้ ช็อคโกแลตหรือกาแฟ?

ป๋ม : ขอชาแล้วกัน

เพื่อน : เอาซีลอน หรือชาสมุนไพร หรือเอาบุชบุชผสมน้ำผึ้งดีมั้ยหรือเอาชาเย็น หรือชาเขียว

ป๋ม : เอาซีลอน

เพื่อน : เอาแบบไหนเหรอ ใส่นมหรือไม่ใส่

ป๋ม : ใส่นมด้วยแล้วกัน

เพื่อน : เอานมแพะ นมอูฐ หรือนมวัว

ป๋ม : นมวัวดีกว่า

เพื่อน : เอานมจากวัวฟรีซแลนด์หรือวัวแอฟริกาเน่?

ป๋ม : เอ่อ... ไม่ต้องใส่นมก็ได้

เพื่อน : อยากได้หวานแบบไหนล่ะ ใส่น้ำตาลหรือว่าน้ำผึ้ง?

ป๋ม : น้ำตาลดีกว่า

เพื่อน : น้ำตาลบีทหรือน้ำตาลอ้อย?

ป๋ม : น้ำตาลอ้อย

เพื่อน : เอาแบบขาว หรือแดง หรือว่าเหลือง?

ป๋ม : ... นายลืมเรื่องชานี่ซะเถอะ ขอน้ำสักแก้วก็พอว่ะ

เพื่อน : จะเอาน้ำแร่หรือน้ำกลั่น?

ป๋ม : น้ำแร่

เพื่อน : เอาแต่งรสด้วยมั้ย? หรือว่าไม่?

ป๋ม : หิวน้ำจะตายอยู่แล้วโว้ย !!!

เพื่อน : ???? (ก็แค่ถาม)

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

สายตาสั้นนั่งหน้าจอระวังต้อหิน


ใครที่รู้ตัวว่าสายตาสั้น แล้วชอบนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วล่ะก็


ระวังอาจเป็นต้อหินได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น กล่าวว่า..นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้


คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงานที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5% และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินอยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้


รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันไปปรับเก้าอี้นั่งให้ห่างจากหน้าจอประมาณ 1 ช่วงแขน เพื่อเป็นการถนอมสายตากันด้วย.
เกร็ดความรู้ วิธีเลือกซื้อ อาหารกระป๋อง
เกร็ดความรู้ เรื่องน่ารู้ สาระน่ารู้ เพื่อ สุขภาพ วันนี้เหมาะกับคุณแม่บ้านมากๆ หากคุณต้องซื้อ อาหารกระป๋อง อยู่บ่อยๆ เรามี เกร็ดความรู้ เรื่องน่ารู้ สาระน่ารู้ เคล็ดลับ ในการเลือกซื้ออาหารกระป๋องมาฝากกันด้วยค่ะ


แม่บ้านที่ต้องซื้ออาหารกระป๋องอยู่บ่อยๆ

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีเลือกซื้ออาหารกระป๋องมาบอกกัน...

- ให้สังเกตดูลักษณะของกระป๋อง ถ้าด้านบนหรือด้านล่างมีรอยปูดหรือบุบ แสดงว่าอาหารในกระป๋องเสียหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว

- ใช้นิ้วดีดบนกระป๋องแล้วสังเกตฟังเสียงที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นอาหารกระป๋องจำพวกผลไม้ เสียงที่เกิดขึ้นควร เป็นเสียงดังใสกังวาลจึงจะดี แต่ถ้าเป็นอาหารกระป๋องจำพวก ผัก เนื้อ ปลา ควรมีเสียงหนักๆ ซึ่งแสดงว่าอาหารในกระป๋องยังสดดีอยู่

- ให้สังเกตวันหมดอายุ หรือวันที่ผลิตซึ่งระบุไว้บนฝา กระป๋องหรือใต้กระป๋อง

- ถ้าซื้อมาแล้วเปิดออกพบว่า ภายในกระป๋องมีฟองอากาศ ไม่ควรรับประทาน

- อาหารที่ยังใช้รับประทานได้ ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยให้รสดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะซื้ออาหารกระป๋องครั้งต่อไปก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้นะคะ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Faire les vendanges
(ฤดูเก็บเกี่ยวองุ่น)




























น้ำผึ้งช่วยชะลอความชรา ลดวิตกกังวลเพิ่มความจำ

ผลการศึกษาครั้งใหม่ในนิวซีแลนด์พบว่าน้ำผึ้งมีคุณ สมบัติที่สามารถต่อสู้กับความชราลงได้ ทั้งในเรื่องความจำเสื่อมและความวิตกกังวล

ลินน์ เชพุลิส และนิโคลา สตาร์คีย์ จากมหาวิทยาลัยไวคาโต เมืองฮามิลตัน ได้ทดลองแบ่งกลุ่มเลี้ยงหนูด้วยอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำผึ้ง 10 เปอร์เซ็นต์ และซูโครส 8 เปอร์เซ็นต์ กับอีกกลุ่มหนึ่งเลี้ยงอาหารที่ไม่มีน้ำตาลเลย เป็นเวลา 12 เดือน

ช่วงที่เริ่มต้นการทดลองเลี้ยงนั้น หนูอายุ 2 เดือน หลังจากนั้นมีการประเมินผลทุก 3 เดือนโดยใช้แบบทดสอบที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อวัดเรื่องความวิตกกังวล กับความจำเกี่ยวกับระยะทาง ผลปรากฏว่าหนูที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยน้ำผึ้งใช้เวลาเกือบ 2 เท่าในพื้นที่ส่วนเปิดของ “การประเมินเขาวงกต” นักวิจัยเห็นว่ามีความวิตกกังวลน้อยกว่า หนูพวกนี้ยังค่อนข้างจะใช้เวลามากกว่าในส่วนใหม่ของเขาวงกตรูปตัววาย แสดงว่าพวกมันรู้ว่ามันเคยอยู่ตรงจุดใดมาก่อนและมีความจำระยะทางได้ดีกว่า

สตาร์กี้ หนึ่งในผู้วิจัยกล่าวว่า“อาหารหวานจากน้ำผึ้งน่าจะมีประโยชน์ในการลดความ วิตกกังวลและปรับปรุงความจำได้ในระหว่างที่ชรา”
นักวิจัยเสนอว่าน้ำผึ้งอาจจะเข้าไปกระตุ้นความทรงจำเนื่องจากมีคุณสมบัติแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย งานวิจัยดังกล่าวนำเสนอต่อที่ประชุมสมาคมศึกษาพฤติกรรมสัตว์ ที่มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ปริศนาภาพวาดโมนา ลิซ่า (Mona Lisa)


โมนาลิซ่า รูปภาพที่เลื่องชื่อ

กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลงบนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?

ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด

จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโมนา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้

นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)

แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"

มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก

อันที่จริงแล้ว ลักษณะรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า ที่มีการตีความไปต่างๆนานานั้น สามารถ พบเห็นได้ในภาพเขียนอื่นๆของ ดาวินซี่ เองเช่น รอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและการุณย์ ของเซนต์แอนน์ หรือพระแม่มารี หรือแม้กระทั่งรูปปั้นในยุคโบราณของกรีก ในศตรวรรษที่ 19 มีผู้เห็นว่าภายใต้รอยยิ้มยากที่จะหยั่งลึกของ โมนา ลิซ่า นี้กลับแฝงไว้ด้วย ปริศนาอมตะ แห่งอิสตรี ส่วนนักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund freud) ก็ตีความหมายว่า "ลีโอนาร์โดหลงไหลรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า" เพราะมันคือสิ่งที่หลับไหล ภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นมารดา สำหรับนักสุนทรียศาสตร์อย่าง วอลเทอร์ เพเทอร์ (Walter Pater) พรรณนาไว้ว่า "เธอมีอายุแกกว่าหินผาที่ห้อมล้อมเธอ ประดุจหนึ่งปีศาจดูดเลือด เธอได้ตายมาแล้วหลายคราและหยั่งรู้ความลึกลับแห่งหลุมศพ"

พอมาถึงต้นศตรวรรษที่ 20 ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อโมนา ลิซ่า เสียแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ในเวลา เช้าตรู่ข่าวการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ปรากฎต่อมวลชน ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจร- กรรมโมนา ลิซ่าไป ก็คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้นเปลี่ยนไป โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง

เมื่อปี ค.ศ. 1974 โมนาลิซ่าถูกนำไปแสดงที่กรุง มอสโก และโตเกียว โดยเฉพาะที่ โตเกียวมีผู้คนมาเข้าแถวชมเพื่อยลโฉมเธอถึง 2 ล้านคนในช่วงเวลาแค่ 3 เดือน


15 วิธีลับสมองให้ความจำดีขึ้น


นี่คือคำแนะนำเพื่อความจำที่ดีขึ้น

1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆนั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์
2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้น
3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด
4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย
6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ
7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน
8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง
9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้วคำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ
10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด
11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้
13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย
14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ
15 ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550

Vichy France




Vichy France, or the Vichy regime, was the government of France from July 1940 to August 1944. It succeeded the Third Republic. The "French state" (L'État Français), as it called itself in contrast with the "French Republic", was proclaimed by Marshal Philippe Pétain, following the military defeat of France by Nazi Germany during World War II, and the vote by the National Assembly on July 10, 1940, to grant extraordinary powers to Pétain, who held the title of "President of the Council" instead of President of France. Pétain headed the reactionary program of the so-called "Révolution nationale", aimed at "regenerating the Nation."
Vichy France had legal authority in both the northern zone of France, which was occupied by the German
Wehrmacht, and the unoccupied southern "free zone", where the regime's administrative center of Vichy was located. The southern zone remained under Vichy control until the Allies landed in French North Africa in November 1942.
Pétain and the Vichy regime willfully
collaborated with Nazi Germany to a high degree. The French police organized raids to capture Jews and others considered "undesirables" by the Germans in both the northern and southern zones.
The legitimacy of Vichy France and Pétain's leadership was challenged by General
Charles de Gaulle, who claimed to instead incarnate the legitimacy and continuity of France. Following the Allies' invasion of France in Operation Overlord, de Gaulle proclaimed the Provisional Government of the French Republic (GPRF) in June, 1944. After the Liberation of Paris in August, the GPRF installed itself in Paris on August 31. The GPRF was recognized as the legitimate government of France by the Allies on October 23, 1944.
With the liberation of France in August and September, the Vichy officials and supporters moved to
Sigmaringen, a French enclave in Germany and there established a government in exile, headed by Pétain, until April 1945.





Overview
In 1940, Marshal Philippe Pétain was known mainly as a World War I hero, the winner of Verdun. As last President of the Council of the Third Republic, Pétain suppressed the parliament and immediately turned the regime into a non-democratic government collaborating with Germany.

Vichy France was established after France surrendered to Germany on
June 22, 1940, and took its name from the government's administrative center in Vichy, central France. Paris remained the official capital, to which Pétain always intended to return the government when this became possible. While officially neutral in the war, Vichy actively collaborated with the Nazis, including, to some degree, with their racial policies.

It is a common misconception that the Vichy regime administered only the unoccupied zone of southern France (incorrectly named "free zone", zone libre, by Vichy), while the Germans directly administered the occupied zone. In fact, the civil jurisdiction of the Vichy government extended over the whole of
metropolitan France, except for Alsace-Lorraine, a disputed territory which was placed under German administration (though not formally annexed). French civil servants in Bordeaux, such as Maurice Papon, or Nantes were under the authority of French ministers in Vichy. René Bousquet, head of French police nominated by Vichy, exercised his power directly in Paris through his second, Jean Leguay, who coordinated raids with the Nazis.

On
11 November 1942, the Germans launched Operation Case Anton, occupying southern France, following the landing of the Allies in North Africa (Operation Torch). Although Vichy's "Armistice Army" was disbanded, thus diminishing Vichy's independence, the abolition of the line of demarcation made civil administration easier. Vichy continued to exercise jurisdiction over most of France until the collapse of the regime following the Allied invasion in June 1944.
Until August 1945, the Vichy regime was acknowledged as the official government of France by the
United States and other countries, including Canada, which was at the same time at war with Germany. Even the United Kingdom maintained unofficial contacts with Vichy for some time, until it became apparent that the Vichy Prime Minister Pierre Laval intended full collaboration with the Germans.

The Vichy government's claim to be the
de jure French government was challenged by the Free French Forces of Charles de Gaulle, based first in London and later in Algiers, and French governments ever since have held that the Vichy regime was an illegal government run by traitors. Historians in particular have debated the circumstances of the vote of full powers to Pétain on July 10, 1940. The main arguments advanced against Vichy's right to incarnate the continuity of the French state were based on the pressure exerted by Laval on deputies in Vichy, and on the absence of 27 deputies and senators who had fled on the ship Massilia and could thus not take part in the vote.

Within Vichy France, there was a
low-intensity civil war between the French Resistance—drawn from the Communist and Republican elements of society—against the reactionary elements who desired a fascist or similar regime as in Francisco Franco's Spain. This civil war can be seen as the continuation of a division existing within French society since the 1789 French Revolution, illustrated by events such as the Bourbon Restoration and the White Terror enforced by the Chambre introuvable; the 1825 vote of the Anti-Sacrilege Act by the ultra-royalist comte de Villèle; the 1871 Paris Commune and the violent repression which followed, including the creation of the Basilique du Sacré-Coeur in expiation of the "Commune's sins"; the May 16, 1877 crisis; the Dreyfus Affair; the conflict during the application of the 1905 law on the separation of the Church and the State; the 6 February 1934 riots, etc. A part of French society had never accepted the Republican regime issuing from the Revolution, and wished to re-establish the Ancien Régime. This was made apparent by the glee of the leader of the monarchist Action française, Charles Maurras, who qualified the suppression of the French Republic as a "divine surprise".[1]


Huître









Le terme huître recouvre un certain nombre de groupes de mollusques marins bivalves qui se développent en mer. Elles ne vivent que dans de l'eau salée (contenant 30 à 32 grammes de sel par litre (g/l), voire moins) et se trouvent dans toutes les mers.
Les huîtres sont très prisées sur le plan
gastronomique et on leur prête des propriétés aphrodisiaques. La majeure partie de la production annuelle est écoulée durant la période des fêtes de fin d'année.




Anatomie





À l'intérieur d'une coquille de nacre, se trouve un corps mou, composé, entre autres, des organes qui servent à filtrer les organismes provenant de l'environnement. Les branchies servent à respirer et à collecter la nourriture que leur estomac digère. Un muscle adducteur puissant permet de maintenir la coquille hermétiquement fermée.



Reproduction


L'huître Crassostrea gigas, la plus présente en France des variétés d'huître, est hermaphrodite cyclique. En effet, une année sur l'autre, elle sera tantôt femelle, tantôt mâle. Lorsque la température de l'eau dépasse 10 °C, elle produit ses gamètes qu'elle libère lorsque l'eau atteint une température proche de 18 °C. Une huître libère entre 20 et 100 millions d'ovules et encore plus de spermatozoïdes. Seules 10 % des larves formées atteindront l'âge adulte.



L’huître creuse est ovipare et l’huître plate est vivipare. Au soleil de l’été, l’huître creuse pleine de son lait va répandre dans l’eau ses gamètes. L’union d’un gamète mâle et d’un gamète femelle forme un œuf microscopique qui va dériver au gré des flots. Chaque huître mère donne naissance à plus d’un million d’œufs. Pour que la naissance se passe bien, plusieurs conditions doivent être réunies. Conditions climatiques favorables, une eau à bonne température, 21 degrés, une eau pas trop salée d’où la nécessité de la proximité des rivières. Au bout de vingt jours environ, l’invisible œuf va se fixer sur un support solide et propre. Le premier rôle de l’ostréiculteur est de fournir ces supports qu’on appelle ‘collecteurs’ qui sont coquilles d’huîtres, coquilles Saint-Jacques, ardoises, fers, tuiles, tube plastique. La pose des collecteurs s’effectue au moment où la larve cherche à se fixer fin juillet. Recouverts de naissains en été, les collecteurs restent en place jusqu’au printemps suivant. Il n’est alors pas encore possible d’en séparer les coquilles trop friables mais il est indispensable de donner de la place aux naissains. C’est l’éclaircissement. Après 18 mois de croissance sur les collecteurs, les huîtres les recouvrent complètement. Le gros travail du mois de janvier au mois de mai : c’est le détroquage qui consiste à séparer les jeunes huîtres des capteurs. Au moment où les huîtres sont remises en mer, elles vont grandir suivant deux méthodes. La première est la culture à plat, les huîtres sont étalées sur le sol. Elles sont régulièrement grattées et hersées afin qu’elles ne prennent pas une forme allongée. La deuxième méthode est la culture en poche ou en casiers. Les poches ou les casiers sont posés sur des tables en fer hautes de 50 cm et ils sont tournés tous les deux mois pour que les huîtres soient bien rondes et creuses. Une huître de la naissance à la dégustation est manipulée environ 150 fois.

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2550

กลอนขำๆๆๆ
กลางคืนแล้วนะคนดี
เธอคนนี้ควรรีบไปนอน
ไม่ใช่แม่ไม่ได้มาสอน
แค่กลัวหลอนตอนเห็นหน้าเธอ
ร้องไห้ออกมาเถอะคนดี
ฉันจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
จะคอยถามเธออย่างห่วงใย
จะซื้อไหมผ้าเช็ดหน้าขายไม่แพง
ยิ้มแรกแก้มสดใส
ยิ้มต่อไปแก้มเปลี่ยนสี
ยิ้มอีกนิดนะคนดี
แล้วเธอนี้ไปศรีธัญญา
คงคิดว่าฉันชอบเธอล่ะสิ
คิดว่าดีใจที่ได้เจอเธองั้นเหรอ
คงคิดว่าดีใจทุกทีที่เจอบอก
ได้แค่ เออ...เธอคิดถูกแล้ว





หุ่นสวย...ฉบับคุณแม่บ้าน








1.หากนึกอยากรับประทานของหวานๆ ให้นึกถึงผลไม้แทนขนม ลองนึกดูว่า ขนมปังบิสกิตช็อกโกแลต 1 แผ่นให้พลังงานถึง 85 แคลอรี ในขณะที่แอปเปิ้ล 1 ผล มีเพียง 50 แคลอรี



2.ไอศกรีมทั่วไปขนาด 50 กรัม มีแคลอรี 110 แคลอรี ถ้าเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ตแบบ Low Fat หรือไขมันต่ำจะได้เพียง 50 แคลอรีเท่านั้น



3.ลดอาหารประเภทอุดมไขมันเปลี่ยนไปหาอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ เนื้อไก่งวง เนื้อลูกวัว เนื้อปลา และอาหารจำพวกถั่ว



4.หากชอบรับประทานมันฝรั่งทอด เลือกแบบเป็นแท่งดีกว่า เพราะมันฝรั่งทอดชนิดแผ่นกลมนั้น ดูดอมน้ำมันไว้มากกว่า



5.เลือกซื้อปลากระป๋องที่แช่ในน้ำเกลือ แทนปลากระป๋องที่แช่ในน้ำมัน คุณจะได้แคลอรีน้อยลงถึง 100 แคลอรี ต่อน้ำหนักปลา 100 กรัม



6.เลือกซื้อผลไม้กระป๋อง ชนิดที่แช่ในน้ำผลไม้ (Juice) แทนชนิดที่แช่ในน้ำเชื่อม (Syrup) คุณจะเลี่ยงได้ถึง 20 แคลอรี ต่อ 100 กรัม



7.ลดน้ำตาลที่เติมเวลาชงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ เย็นๆ ถ้าเป็นไปได้งดเลยก็จะดี ไม่แนะนำให้ใช้สารให้ความหวานแทน เพราะไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์อื่นที่จะได้รับด้วย



8.เลือกซื้อเนยที่สกัดจากพืชหรือส่วนของพืชแทนเนยที่สกัดจากนมวัว



9.เปลี่ยนลักษณะการเลือกอาหารรับประทานในแต่ละมื้อ โดยเพิ่มผัก ลดเนื้อสัตว์และครีม-มัน-เนย



10.ก่อนไปจ่ายของที่ตลาดเขียนรายการต่างๆ ไว้ก่อน เพื่อจะได้ผ่านตาว่าสิ่งใดควรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ควรซื้อเลยและไม่ควรช้อปปิ้งสินค้าประเภทอาหารในยามที่คุณหิว เพราะคุณจะหยิบอาหารที่นำมารับประทาน ขนม หรือสิ่งที่อุดมไปด้วยไขมันโดยไม่รู้ตัว



เทคนิคนี้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องการไขมันจำนวนมากมาย หากไม่ลดลงก็จะไปเพิ่มพูนเป็นส่วนเกินของร่างกาย และยังอาจทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อาหารประเภทแคลอรีต่ำและนมพร่องมันเนยเหล่านี้ ไม่เหมาะสำหรับเด็กเนื่องจากเด็กโดยเฉพาะที่อยู่ในวัยที่เจริญเติบโต ยังต้องการสารอาหารและวิตามินต่างๆ อีกมาก...



วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550



ภัยการโดนป้ายยา สู่ขบวนการค้าหญิง
เกร็ดเตือนภัยผู้หญิง
ในสังคมภัยการโดนป้ายยา สู่ขบวนการค้าหญิง
เมื่อเย็นวันหนึ่ง
นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ปีที่ 1 หลังจากที่เดินทางไปเรียนตามปกติ ที่วิทยาเขตบางนา และเมื่อเลิกเรียน 4 โมงเย็นแล้วได้บอกกับครอบครัวว่าจะไปที่บ้านญาติที่จังหวัดระยอง แต่เมื่อทางครอบครัวติดต่อไปยังบ้านญาติก็ไม่เห็น มาถึง มือถือก็ติดต่อไม่ได้ เมื่อน้องศร (นามสมมุติ) ขึ้นรถทัวร์จันทบุรี ด้วยที่ตัวเองคิดว่ารถจันทบุรีจะผ่านระยอง การขึ้นรถผิดครั้งนี้ส่งผลการเปลี่ยนแปลงแก่ตนเองทันที เมื่อนั่งรถไปได้สักพัก ผ่านอำเภอแกลง จ.จันทบุรีแล้ว น้องศร คิดเลยว่านั่งรถผิดแน่นอน เพราะรถจะเข้าจันทบุรีอยู่แล้ว เลยตัดสินใจลงจากรถเพื่อ นั่งรถกลับ แล้วมีผู้หญิง 2 คน แต่งตัวดี เดินลงตามน้องศรมาด้วย และเข้ามาคุยกับน้องศรเพื่อตีสนิท และเริ่มพูคุยว่าผู้หญิง 2 คนนั้น : น้องจะไปไหนน้องศร : จะไประยองผู้หญิง 2 คนนั้น : เออ ดีเลย พี่ก็จะไประยองเหมือนกัน เราเหมารถกันดีมั๊ย คนละ 100 บาท ทั้งหมด คง 300 บาท และน้องศรก็ตอบตกลงไปด้วยกัน หลังจากที่ขึ้นรถไปด้วยกันนั้น น้องศรก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้อีกทีเมื่อตัวเองต้องอยู่ในห้องมืดแล้ว และน้องศร ก็นั่งลำดับ เหตุการณ์ ได้ว่า ตัวเองเหมือนมีความรู้สึกโดนยามาป้าย และเคริ้มไป แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลับหรือเปล่า เพราะไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ซึ่งน้องศรมารู้ภายหลังว่า เมื่อตัวเองได้ออกมาจากห้องมืดนั้น โดยผู้หญิง 2 คนนั้นให้น้องศรออกมาข้องนอก เพื่อมาให้นายทุนดูตัว (มารู้ภายหลัง ว่านายทุน) ซึ่งทำให้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสวนยางลึก เป็นป่าทึบ ที่ ห่างไกลจากชุมชน และบ้านคนมาก แต่น้องศรก็รู้ว่าอยู่ใน จ. จันทบุรีในคืนวันนั้น น้องศร ได้ยินผู้หญิง 2 คนนี้ พูดกันว่า ผู้หญิงที่กักตัวไว้ที่นี่ อีก 5 คนนั้น จะส่งไปขายมาเลย์ เร็วๆนี้ ทำให้น้องศรหยุดคิดว่า นอกจากตนแล้ว ยังมีผู้หญิงที่ตกสภาพตนอีก 5 คนเลยเหรอ ส่งขายมาเลย์ คือจุดหมายของชีวิตเหรอ ตอนนั้นน้องศรเครียดมาก และคิดจะฆ่าตัวตายเมื่อต้องรู้ชะตาชีวิตว่าจะไปมาเลย์ และต้องทำอะไร เมื่อเช้าของอีกวัน น้องศรคิดตลอดเวลา ว่า หนี หนีแล้วจะหนีออกยังงัยล่ะ คือคำถามของน้องศรที่นั่งถามตัวเองอยู่ แต่โอกาสก็มาถึงน้องศร เมื่อวันนั้นผู้หญิง 2 คนนั้นไม่อยู่ และลืมล็อคกุญแจห้อง น้องศร ได้โอกาสแล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งแบบไม่หันกลับไปมองข้างหลัง จุดหมายอย่างเดียว คือ ถนนใหญ่ เพื่อหารถกลับ และน้องศรก็นั่งรถจันทบุรี – ระยอง เพื่อไประยอง และหลังจากนั้นมีการติดต่อให้แม่และครอบครัวไปรับที่ระยอง ตอนนี้สภาพจิตใจยังแย่มาก อาการหวาดกลัว และระแวงทุกอย่างที่พบเห็น และไม่กล้าออกนอกบ้านเลยจากคำพูดของน้องศร ว่า : แก็งนี้ เป็นแก็งที่ลักพาตัวผู้หญิงไปขายเพื่อค้าประเวณี แน่นอน และจะใช้วิธีผู้หญิง 2 คน แต่งตัวดี เข้ามาตีสนิท และเป็นขบวนการที่นำยามาป้าย (ยังไม่มีคำตอบว่ายาอะไร ที่มาป้าย) แล้วผู้หญิง อีก 5 คนที่ติดอยู่ที่นั่นละ จะมีชีวิตยังงัย แล้วมีผู้หญิงอีกมากมายเท่าไรที่โดนกรณีอย่างนี้ นี่คือ .... ต้นเหตุอีกสาเหตุหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุให้คนหายในปัจุจบันนี้ ที่ทางศูนย์ข้อมูลคนหายรับรื่องมา และเรื่องนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมเรา

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550


ดื่มเหล้าอะไรก็เสี่ยงมะเร็งเต้านม


ดร.อาร์เธอร์ แคลตสกี จากโครงการเดอะ ไคเซอร์ เพอร์มาเนนท์ เมดิคัล แคร์ โปรแกรม ในโอ๊กแลนด์ เปิดเผยต่อที่ประชุมมะเร็งยุโรปว่า

จากการศึกษากับสตรีหลายหมื่นคนพบว่า ปริมาณสุราที่ดื่มคือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าประเภทของสุรา มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปอด คาดว่าปีนี้จะตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่ 1.2 ล้านคนทั่วโลก และจะมีผู้เสียชีวิต 500,000 คน คณะนักวิจัยศึกษาพฤติกรรมการดื่มสุราของสตรี 70,000 คน ที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน พวกเธอตรวจสุขภาพช่วงปี 2521-2528 ปรากฏว่าในจำนวนนี้เกือบ 3,000 คน เป็นมะเร็งเต้านมก่อนปี 2547


คณะนักวิจัยพบว่า สตรีที่ดื่มสุราวันละ 1-2 แก้ว มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มไม่ถึงวันละ 1 แก้ว แต่หากดื่มเกินวันละ 3 แก้ว จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ส่วนการที่เคยมีผลการศึกษาอื่นชี้ว่า การดื่มสุราแต่พอควรช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้นั้น คณะนักวิจัยชุดนี้คิดว่า อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ช่วยให้เกิดคอเลสเทอรอลชนิดดี ที่ช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด และลดความเสี่ยงเป็นเบาหวาน แต่แอลกอฮอล์ กลับเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมตามผลที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้.

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2550

น้ำพริกกับผักเคียง ช่วยเลี่ยงได้หลายโรค

พูดถึง “น้ำพริก” คนไทยต้องรู้จักเป็นอย่างดี

แม้ว่าแต่ละภาคอาจจะเรียกชื่อแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ภาคใต้เรียก “น้ำชุบ” ภาคอีสาน มี “ป่น” “แจ่ว” แต่ ไม่ว่าจะเรียกชื่อต่างกันแค่ ไหน ส่วนประกอบหลักๆ ของน้ำพริกมีคล้ายคลึงกัน แถมยังต้องกินกับผักเครื่องเคียงหลากหลายชนิด ที่มีคุณประโยชน์ทางโภชนาการและป้องกันโรคภัยต่างๆ ได้ด้วย


สมุนไพรที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกนั้น

ประกอบด้วย พริก กระเทียม และหอมแดง ซึ่งแต่ละอย่างก็มีสรรพคุณป้องกันได้หลายแบบ เอกสารเผยแพร่ของศูนย์ประสานงาน การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรให้ข้อมูลสมุนไพรแต่ละตัวไว้ว่า

พริก มีรสชาติเผ็ดร้อน ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้เจริญอาหาร ขับลม แก้หวัด แก้ภูมิแพ้ งานวิจัยพบว่าในพริกมีสารแคปไซซิน ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง

กระเทียม มีสาร “อัลลิซิน” กลิ่นฉุน มีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มหรืออุดตันตามผนังหลอดเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

หอมแดง มีสาร “เคอร์ซิทิน” ช่วยทำความสะอาดเส้นเลือด ป้องกัน ไม่ให้หลอดเลือดอุดตัน นอกจากนี้ สมุนไพรที่เป็น เครื่องเคียงกินกับน้ำพริก เช่น สายบัว บัวบก ผักกะเฉด ผักกูด ผักหนาม ยังมีสารประกอบที่ฝรั่งเรียกว่า “ไฟโตเคมีคอลล์” มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคร้ายต่างๆ เช่น คลอโรฟิลล์ ฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ เมื่ออยู่ในผักจะออกฤทธิ์ช่วยกันเสริมสร้างร่างกายให้ แข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อต้านอนุมูลอิสระ ในผักยังมีเส้นใยอาหาร หรือที่เรียกว่าไฟเบอร์นั้น ก็ยังมีประโยชน์อีก นั่นคือเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำจะช่วยคุมระดับไขมันและระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงการเป็นริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่


ทั้งหมดที่ว่ามาแสดงว่าสมุนไพรในหนึ่งถ้วยน้ำพริกนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหลือหลาย นอกจากความแซบอันเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แล้วอย่างนี้จะทิ้งน้ำพริกไปหาอาหารฝรั่งกันได้ลงคอเชียวหรือ.