วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นอนน้อยทำร้ายหลอดเลือด เสี่ยงเป็นโรคหัวใจร้ายแรง




หมอเตือนภัยของการประหยัดการนอนว่า เป็นการทำร้ายหลอดเลือด ทำให้แข็งกระด้าง อันอาจทำให้เกิดเป็นโรคหัวใจขึ้นได้

วารสารวิชาการแพทยสมาคมอเมริกันรายงาน ผลการศึกษาร่างกายคนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่ 495 คน พบว่า ผู้ที่นอนน้อยต่ำกว่าวันละ 5 ชม. ถูกพบว่าเป็นผู้ที่มีหลอดเลือดแข็งกระด้างมากถึง 1 ใน 3 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวบอกว่า การนอนให้พอเป็นของสำคัญของการมีหัวใจแข็งแรงดี

คณะแพทย์ได้พบหลอดเลือดลักษณะดังกล่าวในการศึกษาด้วยการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ประเมินการจับเกาะแคลเซียมตามหลอดเลือด ตรวจช่วงระยะเวลาทุก 5 ปี พร้อมกับขอให้กรอกแบบ สอบถามเกี่ยวกับนิสัยการนอนและให้ทำบันทึกการนอนประจำวันไว้ด้วย


ในการตรวจหนแรกเมื่อเริ่มการศึกษายังไม่ พบว่าหลอดเลือดคนใดแข็งเลย แต่เมื่อตรวจหน ที่ 2 เมื่อ 5 ปีต่อมา ได้พบผู้มีแคลเซียมจับเกาะอยู่ถึง 61 ราย และดูเหมือนว่ามันเกี่ยวพันกับการนอนน้อยอยู่ด้วย เพราะได้พบว่า รายที่นอนคืนละไม่ต่ำกว่า 7 ชม.หลอดเลือดจะมีแคลเซียมเกาะน้อยกว่าเพื่อน

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เราทำงานหนักเพื่อ เพื่ออะไร ?


แด่ทุกท่านที่กำลังทำงานหนัก เพื่ออะไรบางอย่างในชีวิต ข้อคิดและข้อปฎิบัติสำหรับผู้ต้องการเพิ่ม EQ ของตัวเอง

หัดคิดแต่ด้านบวก. . . แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้
หัดฝัน. . . แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่
หัดพูดแต่ด้านบวก. . . แล้วจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา
หัดยิ้ม. . . แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก
หัดฟาดฟันกับอุปสรรค. . . แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง
ลองทน. . . แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร
ลองออกกำลังกายทุกวัน. . . แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง
ลองคิดเอาชนะ. . . แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะ ตัวเองได้ไม่ยาก
ลองคิดให้ใหญ่. . . แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ
นักพูดที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งได้เริ่มหยุดการสัมนาของเขาโดยการหยิบแบงค์ 1,000 ขึ้นมา ในห้องที่มีผู้เข้าร่วม 200 ท่าน แล้วเขาก็พูดว่า "ใครอยากได้แบงค์ 1,000 นี้บ้าง?" มือได้ถูกยกขึ้นเป็นจำนวนมาก และเขาก็พูดต่อว่า "ฉันจะให้เงินแบงค์1,000 นี้แก่หนึ่งในพวกท่านแต่ครั้งแรกนี้ฉันจะทำอย่างนี้" เขาเริ่มที่จะขยำๆเงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า "ใครจะยังต้องการมันอีก" ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก "ดี" เขาตอบ
"แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ" และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก "ตอนนี้ใครยังต้องการมันอีก" ก็ยังคงมีคนยกมืออีก
พื่อนๆ คุณได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน คุณก็ยังต้องการมันอยู่ เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า1,000 บาทอยู่นั่นเอง เหมือนกับหลายๆ ครั้งในชีวิตของเรา ที่ถูกทิ้ง ถูกเหยียบย่ำ และถูกทำให้สกปรก โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมันและสภาพแวดล้อมที่เราเจอ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นหรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ อย่าลืมมันตลอดไป!
"อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้"

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551




กินอะไร..อาจทำให้ง่วงได้



รู้ไหม ว่าอาหารที่พวกเราทานเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอนได้ แถมอาหารเหล่านี้ยังเป็นอาหารจานโปรดของใครต่อใครหลายๆ คนเลย


กาแฟ เคยได้ยินแต่กาแฟช่วยให้ไม่ง่วง แต่..ถ้าเราดื่มกาแฟในขณะที่กระเพาะอาหารยังว่างอยู่จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟไป 30 นาที คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะเข้าไปในกระแสเลือดและถูกส่งต่อไปที่สมอง โดยขณะนั้นเองออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปเลี้ยงสมองก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้ ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนตามมา


กล้วย ภายในกล้วยจะมีฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟริน ที่จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ดังนั้นถ้าเราทานกล้วยมากจนเกินไปก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกายได้


ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนได้


ครัวซองต์ จะมีปริมาณแป้งขัดขาวและไขมันมากซึ่งจะต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้นถ้าเราทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้น ร่างกายก็ต้องดึงเลือดจากสมองมาที่กระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้เลือดที่สมองมีไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการง่วงนอน


ขนมปังขาวและข้าวขาว เพราะมีสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วน ซึ่งทำให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลินออกมามาก ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน


ของหวาน เช่น เค้ก คุ้กกี้ จะทำให้วิตามินบีออกจากร่างกายเราเร็วขึ้นส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอน














































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551


สูดควันธูปเสี่ยงมะเร็ง



กลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืนเมื่อทีมนักวิจัยไทยพบว่า ควันธูป มีสารก่อมะเร็งและมีศักยภาพในการซ่อมแซมความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่ลดลงในผู้ที่ได้รับควันธูปเป็นประจำ นับเป็นกลไกส่วนหนึ่งในการเหนี่ยวนำให้เกิดโรคมะเร็งได้ และการใช้ผ้าปิดจมูกไม่สามารถปิดกั้นสารกลุ่มนี้ได้ เนื่องจากควันธูปมีอนุภาคที่เล็กมาก

โดยจากข้อมูลในงานนำเสนอผลงานวิจัย "สารก่อมะเร็ง : ภัยเงียบที่มากับควันธูป" ณ อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าไอซียูโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ร่วมกับ ดร.พนิดา นวสัมฟทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำการวิจัยเรื่องการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของคนทำงานในวัด จากการสูดดมควันธูปซึ่งมีสารก่อมะเร็ง เนื่องจากพบว่าปัจจุบันโรคมะเร็งปอด เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการตายอันดับต้น ๆ ของโรคมะเร็งที่พบมากทั้งเพศชายและเพศหญิง ถึงแม้ว่าสาเหตุการเกิดโรคส่วนใหญ่จะมาจากการสูบบุหรี่หรือได้รับมลพิษ แต่จากสถิติผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าร้อยละ 50 ไม่พบประวัติการสูบบุหรี่หรืออยู่ใก้ชิดกับผู้สูบบุหรี่


นพ.มนูญ ยังกล่าวต่อว่า ทีมวิจัยได้ทำการตรวจหาปริมาณสารก่อมะเร็งในอากาศซึ่งมีการจุดธูปปริมาณมากในวัด 3 แห่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ พร้อมทั้งทำการตรวจเลือดและปัสสาวะของคนทำงานของคนงานที่ปฏิบัติงานในวัดจำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานส่วนใหญ่ที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน จากผลการวิจัยพบสารก่อมะเร็งในควันธูป 3 ชนิด คือ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน ซึ่งสารกลุ้มนี้ล้วนได้รับการยืนยันจากทั่วโลกว่าเป็นสารก่อมะเร็ง และปริมาณที่พบยังเข้มข้นสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้หลายสิบเท่า ซึ่งหากเปรียบเทียบง่าย ๆ จะพบว่า ธูป 1 ดอกที่จุด มีปริมาณสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวนเลยทีเดียว นอกจากสารก่อมะเร็งที่พบในควันธูปยังต็มไปด้วยฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่เป็นต้นเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน โดยมีผู้ทำการวิจัยและรายงานไว้ว่าการจุดธูป 1 ดอกจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่ากับ 1 ใน 3 ของน้ำหนักธูป และหากจุดธูป 3 ดอก จะสามารถปล่อยมลพิษและสารก่อมะเร็งได้เท่ากับสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง

นพ.มนูญ ยังได้กล่าวอีกว่า ธูปทุกชนิดล้วนมีสารก่อมะเร็งทั้งสิ้น ขณะที่ธูปไร้ควันและธูปอโรมา เคยมีงานวิจัยออกมาพบว่า มีการปล่อยสารเบนซินมากกว่าธูปธรรมดาด้วยซ้ำไป ถึงอย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีการรณรงค์เรื่องนี้ เช่น การรณรงค์ดับธูปก่อนปักลงกระถางเพื่อลดควัน หรือหลังจากจุดธูปเพื่ออธิษฐานแล้วให้ดับธูปทันที และในอนาคตภาคอุตสาหกรรมควรมีการผลิตธูปที่เมื่อจุดแล้วดับได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคนี้

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ศอกขาวเนียนด้วย เอนไซม์จากสับปะรด


เรื่องของข้อศอกดำ หัวเข้าด้าน ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้สาว ๆ หลายคนนั้น แทบจะเมินเสื้อสายเดี่ยว และมินิเเกิร์ตไปเลย เพราะไม่ว่าจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่ก็ทำให้ไม่มั่นใจเลย ดังนั้น วันนี้เราก็มีเคล้ดลับในการดูแลข้อศอก และหัวเข้าของคุณแบบง่าย ๆ ด้วยเอนไซม์จากธรรมชาติมาฝากกัน
เอนไซม์ที่ว่าก็มาจากผลไม้ที่เรียกว่า หาได้แทบทุกฤดูกาล นั่นคือ สับปะรด

ขั้นตอนทำสวยของเราก็ง่ายแสนง่าย เพียงนำเอาสับปะรด 1/4 ผล ไปสับให้ละเอียด จากนั้นก็นำเข้าตู้เย็นไว้ เมื่อได้เวลาอาบน้ำก็เปิดตู้เย็น หยิบสับปะรดที่เราเตรียมไว้ไปด้วย ซึ่งหลังจากที่เราอาบน้ำ ขัดผิวให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว นำสับปะรดเย็น ๆ ที่เตรียมไว้มาขัดให้ทั่วแขน ขา ข้อศอก และหัวเข่า จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 15 - 20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง ทาด้วยครีมบำรุงผิวที่คุณใช้อยู่เป็นประจำ
สูตรนี้สามารถทำได้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ควรจะเกินวันเว้นวัน แล้วรับรองว่า ผิวของคุณจะกลับมานุ่ม เนียน ไม่มีปัญหาข้อศอกดำ ด้าน หรือหัวเข่าดำคล้ำมาให้กังวลใจอีกแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

~~~ช็อกโกแลตดำปรับความดันโลหิตให้สมดุล ~~~

ช็อกโกแลตดำนอกจากจะเป็นของหวานแสนอร่อย ยังมีคุณสมบัติปรับความดันโลหิตให้สมดุลย์
ผลการศึกษาล่าสุดของสมาคมหัวใจอเมริกันนำโดยเจฟเฟรย์ บลัมเบิร์ก จากมหาวิทยาลัยตัฟต์ บอสตันชี้ว่า สารฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลตดำสามารถลดความดันเลือดนำไปสู่การลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ "การศึกษาก่อนหน้านี้เราพบว่าสารฟลาโวนอยด์พบมากในผลไม้ ผัก ชา ไวน์แดง และช็อกโกแลต ที่เป็นผลดีต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ แต่นี่เป็นการวิจัยครั้งแรกที่ตั้งสมมติฐานเฉพาะเจาะจงว่าช็อกโกแลตดำสามารถลดความดันโลหิตในกลุ่มคนที่มีความดันสูงได้ การศึกษานี้ไม่ใช่แนะให้กินช็อกโกแลตดำเพิ่มขึ้น แต่เน้นว่าสารโกโก้ ฟลาโวนอยด์ มีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบหลอดเลือดหัวใจและระบบควบคุมอินซูลิน"
จากการศึกษาชายและหญิงอย่างละ 10 คนที่เป็นโรคความดันสูง ให้กลุ่มทดลองรับประทานช็อกโกแลตดำแท่งขนาด 100 กรัม ที่อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ ขณะที่กลุ่มควบคุมให้รับประทานช็อกโกแลตขาวขนาดเท่ากัน เป็นเวลา 15 วัน ช็อกโกแลตขาวซึ่งไม่มีสารฟลาโวนอยด์ แต่มีสารอาหารและแคลอรีเหมือนช็อกโกแลตดำทุกอย่าง เมื่ออาสาสมัครกินช็อกโกแลตดำ พบว่าความดันเลือดลดลงเฉลี่ย 9 mm. Hg แต่เมื่อกินช็อกโกแลตขาว ความดันไม่เปลี่ยนแปลง การกินช็อกโกแลตดำสามารถปรับปรุงการใช้อินซูลินของร่างกายและยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL ที่ไม่ดีต่อร่างกายลงเฉลี่ยร้อยละ 10 สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงผลทางสถิติที่น่าพอใจ แต่ยังเป็นผลทางการแพทย์ที่มีคุณค่ามากอีกด้วย

อืมม ก้อคือ ว่าเราไปเจอมาคิดว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะ อิอิ เพื่อนๆก็คงจะได้รู้ถึงประโยชน์ของช๊อกโกแล๊ตแล้วนะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันปิยมหาราช


๒๓ ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทุกปีจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ครั้นนั้นเป็นที่เศร้าสลดอย่างใหญ่หลวงของพระบรมวงศานุวงศ์และปวงชนทั่วประเทศ เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เคารพรักของหวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงได้ถวายพระนามว่า พระปิยมหาราช หรือพระพุทธเจ้าหลวง เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพตามราชประเพณีแล้ว ครั้งเมื่อบรรจบอภิลักขิตสมัยคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้สืบราชสันตติวงศ์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายตามราชประเพณี โดยเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวออกประดิษฐานบนพระแท่นนพปฎลมหา-เศวตฉัตร และเชิญพระพุทธรูปปางประจำพระชนมวารประดิษฐาน ณ โต๊ะหมู่ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท หรือพระที่นั่งอนันตสมาคมส่วนที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระลานพระราชวังดุสิต หน้าที่นั่งอนันตสมาคม ที่เรียกว่าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ที่พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณได้ร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างประดิษฐานขึ้นน้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะที่ทรงพระชนม์อยู่เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองราชย์ยั่งยืนนานถึง ๔๐ ปี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น ต่อมาทางราชการได้ประกาศให้วันที่ ๒๓ ตุลาคมซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า วันปิยมหาราช และกำหนดให้หยุดราชการวันหนึ่งในวันปิยมหาราช เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น กรุงเทพมหานคร ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็นสำนักพระราชวัง ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติ ฉัตร ๕ ชั้น ประดับโคม ไฟ ราวเทียม กระถางธูป ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราชครั้งแรก คือ ถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้ว ได้เสด็จฯไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551


"แกงเลียง" มีผลยับยั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่

ทั้งนี้ รายละเอียดของการวิจัย คณะผู้วิจัยอธิบายตั้งแต่แรกเริ่มว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคหนึ่งที่พบได้มากในประชากรโลก และมีแนวโน้มเป็นมากขึ้นในประชากรไทย

สาเหตุหลักมาจากรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป จากหลักฐานการวิจัยพบว่าการบริโภคอาหารที่มีผัก ผลไม้ อยู่มากช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

ดังนั้น การบริโภคแกงเลียง ซึ่งเป็นอาหารไทยที่มีส่วนประกอบหลักเป็นพืชผัก สมุนไพร และเครื่องเทศ ให้พลังงานต่ำ มีสารอาหารและสารสำคัญต่างๆ จากพืช เช่น แคโรทีน และใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาก "จึงทำการศึกษาผลของการกินแกงเลียงดังกล่าวในปริมาณ 1 และ 2 หน่วยบริโภคต่อวัน (เทียบเท่ากับผงแห้งของแกงเลียงปริมาณ 0.032 g และ 0.064 g ต่อน้ำหนักตัวหนู 100 g ตามลำดับ) ในหนูแรทสายพันธุ์วิสตาร์ โดยการละลายผงแกงเลียงในน้ำกลั่น และป้อนให้หนูกินป็นเวลา 6 สัปดาห์ แล้วฉีดสารก่อมะเร็งเข้าทางหน้าท้องหนู ทั้งหมด 2 ครั้ง ในสัปดาห์ที่ 3 และ 4 "

ซึ่งผลการศึกษาพบว่าการได้รับแกงเลียง 2 หน่วยบริโภคต่อการทำงานของเอ็นไซม์ NAD(P)H : quinone reductase (QR) ในตับหนูนั้น แกงเลียงมีผลต่อการสร้างเอ็นไซม์ NAD(P)H : quinone reductase ในตับ และการยับยั้งการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูดังกล่าว"

การทดลองในหนู ได้แบ่งหนูออกเป็นกลุ่มๆ 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมปกติที่ได้รับ NSS และไม่ได้รับแกงเลียง กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับสารก่อมะเร็งและไม่ได้รับแกงเลียง กลุ่มที่ 3 ได้รับสารก่อมะเร็ง และแกงเลียง 1 หน่วยบริโภค ส่วนกลุ่มที่ 4 ได้รับสารก่อมะเร็งและแกงเลียง 2 หน่วยบริโภค และกลุ่มที่ 5 ได้รับ NSS และแกงเลียง 2 หน่วยบริโภค "เมื่อสิ้นสุดการให้อาหาร เก็บตัวอย่างเลือดเพื่อวิเคราะห์หาสารอาหารและสารสำคัญที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับเก็บเนื้อเยื่อตับและลำไส้เพื่อวัดการทำงานของเอ็นไซม์ QR และการเกิด ACF พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับแกงเลียง 2 หน่วยบริโภค มีระดับเรตินอลในน้ำเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการตรวจระดับการทำงานของเอ็นไซม์ QR พบว่าหนูกลุ่มที่ 5 ซึ่งได้รับแกงเลียงเป็น 2 หน่วยบริโภค มีระดับการทำงานของเอ็นไซม์ QR ในตับสูงกว่ากลุ่มควบคุมปกติ (กลุ่ม 1) ประมาณ 2.7 เท่า "

ผลการศึกษาสรุปได้ว่า แกงเลียงสามารถเหนี่ยวนำการทำงานของเอ็นไซม์ QR ในตับ และลดการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ของหนูทดลองได้ จึงอาจมีศักยภาพในการป้องกันการเกิดมะเร็งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่..."

แม้การทดลองนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองในห้องแล็บ แต่ผลที่ได้เป็นการจุดประกายความหวังให้กับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้อยู่ไม่น้อย

เพราะทุกวันนี้โรคมะเร็งยังเป็นโรคน่ากลัวร้ายกาจสำหรับมนุษย์ ยังหายารักษาให้หายขาดไม่ได้ หนำซ้ำคนที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปัจจุบันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที หาก "แกงเลียง" มีคุณสมบัติตามที่ได้วิจัยศึกษา แล้วมีการนำมาพัฒนาต่อยอด อาหารไทยคงได้ชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

30 ความสุข แบบง่ายๆ

1. นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่

3. ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4. หลับตานิ่งๆ สัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน

5. ระหว่างแปรงฟัน ฮัมเพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า

6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7. ไม่ว่าผมจะสั้น หรือยาว แค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด

8. การขึ้นลงบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร

9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆ ทันทีที่คุณถามเขาว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ?"

10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก

11. ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"

12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน

13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงเล่าให้มันฟัง

14. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกทีเผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15. เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ

16. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งจะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้

17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง

18. ก่อนจะชื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน

19. ถึงเสื้อกางเกง ในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น

20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง

21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด

22. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปชื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น

23. แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร

24. ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ

25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวง ก่อนนอน

26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่

28. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ฮาๆเรื่องของนกแก้ว
มาอีกแล้ว เรื่องฮา ( ห้ามส่งให้หัวหน้า )
ชายคนหนึ่งไปซื้อนกแก้วที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง
เห็นนกแก้วตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และเคาะแป้นคีย์บอร์ดอยู่จึงเกิดสนใจถามคนขายว่านก
แก้วตัวนั้นราคาเท่าไหร่
ชายคนนั้น : ลุงๆไอ้ตัวนั้นราคาเท่าไหร่
คนขาย : 15 , 000 บาท
ชายคนนั้น : แล้วมันทำไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ใช้ window,mac,unix แล้วก็พวกซอฟแวร์ office ต่างๆ
ชายคนนั้น : แล้ว ไอ้ตัวข้างๆมันล่ะ
คนขาย : 25 , 000 บาท
ชายคนนั้น : โอ้โห อย่างนี้มันคงเขียนโปรแกรมได้ด้วยมั้ง ( หัวเราะ)
คนขาย : ก็ใช่ แถมมันยังดูแล server แล้วก็เขียนโปรแกรมจัดการกับ Database
ของร้านได้ด้วยนะ
ชายคนนั้น : แล้วไอ้ตัวนั้นล่ะ ตัวที่มันนั่งเฉยๆอยู่ข้างหลังน่ะ (ชี้ไปที่นกอีกตัว) มันทำอะไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ไอ้ตัวนั้นอ่ะนะ วันๆผมไม่เห็น มันทำอะไรเลย นอกจากแหกปากด่าไอ้สองตัวที่นั่งอยู่หน้า
คอมอยู่นั่นแหละ ผมโคตรรำคาญมันเลยคุณ
ชายคนนั้น : แล้วมันราคาเท่าไหร่ล่ะ
คนขาย : 100,000 บาท
ชายคนนั้น : เฮ้ย ทำไมล่ะ
คนขาย : ผมก็ไม่รู้ แต่เห็นไอ้ 2 ตัวนั้น เรียกมันว่า หัวหน้า !!!

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นิทานเรื่องนี้...คุณได้อะไรบ้าง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆ พระองค์เริ่มต้นด้วยการสร้างมหาสมุทร ทั้ง7 โดยการวางของวิเศษของพระเจ้า พระองค์จะต้องวางทั้งของดีและของไม่ดี คู่กันไป เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย เอาป่าอเมซอนวางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย เอาขั้วแม่เหล็กโลกวางไว้ให้แคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้ เอาเทือกเขาหิมาลัยให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้ ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน ทรงสะพายถุงวิเศษแล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป แต่ด้วยความที่เขาสูงมากเกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด ข้าวของที่ดีๆที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่ประเทศไทยหมด ว้า แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิด ประเทศนี้ ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆทั้งหมดแน่นอน พระเจ้า ทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ประเทศอื่นๆ จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่าประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้ .....เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ ไม่ให้ล้ำไปกว่าที่อื่นๆ พระองค์ก็เลยสร้าง คนไทยขึ้นมา ถ้ามีคนไทยอยู่ล่ะก็ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหนไทยก็ไม่มีวันเจริญ

นิทานเรื่องนี้....
อาจจะแรงไปในความรู้สึก...แต่หากลบ อคติ ออกไป
นิทานเรื่องนี้...แฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ มากมาย....
อย่างน้อย ก็คนส่วนน้อย เท่านั้นแหละ....ที่ถ่วงความเจริญ
เพราะยังงัย พระเจ้าท่านก็ยังเมตตา....สร้างคนไทย ดีดี มากกว่า คนที่ไม่ดี.....นั่นแล.....

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551



Molière




Jean-Baptiste Poquelin, dit Molière, baptisé le 15 janvier 1622[1] et mort le 17 février 1673, est un dramaturge et acteur de théâtre français.

Considéré comme le « patron » de la
Comédie-Française, il en est toujours l'auteur le plus joué. Impitoyable pour le pédantisme des faux savants, le mensonge des médecins ignorants, la prétention des bourgeois enrichis, Molière aime la jeunesse qu'il veut libérer des contraintes absurdes. Très loin des rigueurs de la dévotion ou de l'ascétisme, son rôle de moraliste s'arrête là où il l'a défini : « Je ne sais s'il n'est pas mieux de travailler à rectifier et à adoucir les passions des hommes que de vouloir les retrancher entièrement »[2], et son but a d'abord été de « faire rire les honnêtes gens »[3]. Il fait donc sienne cette devise qui apparaît sur les tréteaux italiens dès les années 1620 en France, au sujet de la comédie : Castigat ridendo mores – En riant, elle châtie les moeurs.




Le début de la gloire


Molière retourne à Paris en 1658, il joue au jeu de paume du Marais. Protégé par Monsieur, frère du roi, il joue alors devant Louis XIV une tragédie de Corneille, Nicomède, qui ennuie, et une farce, qui est un triomphe, Le Docteur amoureux. Molière dispose d'un grand talent comique : sa voix et ses mimiques déclenchent l’hilarité. La troupe de Molière jouit bientôt d'une réputation inégalée dans le comique, et le roi l’installe au Petit-Bourbon, où elle joue en alternance avec la troupe italienne de Scaramouche.


En 1659 la troupe perd Joseph Béjart et les Du Parc la quittent pour la troupe du Marais. On engage les jeunes comédiens La Grange et Du Croisy.


Le 18 novembre, c'est le succès éclatant des Précieuses ridicules, où Molière dans le rôle d'Ascarille donne la réplique à Jodelet, fameux comédien engagé pour l'occasion, et la faveur du roi. Le théâtre du Petit-Bourbon est ensuite détruit pour les besoins de la construction de la colonnade du Louvre, ce qui entraîne trois mois de chômage pour la troupe. Le roi installe Molière en 1660 au Palais-Royal, où Molière donne Sganarelle ou le Cocu imaginaire. Il est sacré par Baudeau de Somaize (auteur du Grand Dictionnaire des Précieuses) « premier farceur de France ». Il perd son frère cadet, ce qui fait de lui l'unique héritier de la charge de son père avec lequel il s'est réconcilié.


Molière partage, en 1661, le théâtre du Palais-Royal avec la troupe de Domenico Biancolelli, dit Arlequin. Il présente Dom Garcie de Navarre qui est un échec et L'École des maris qui triomphe. La même année, Molière emménage en face du Palais-Royal. Le 17 août il crée Les Fâcheux, sa première comédie-ballet, au château de Vaux-le-Vicomte, pour Fouquet qui reçoit le roi.


En 1662, Molière épouse Armande Béjart, de vingt ans sa cadette, avec qui il aura un fils Louis dont le roi est parrain, baptisé le 24 février 1664 et mort à huit mois et demi, une fille Esprit-Madeleine, baptisée le 4 août 1665, et un autre fils Pierre, baptisé le 1er octobre 1672 et mort le mois suivant. L'année de son mariage, il s’attaque à un sujet peu courant à l’époque : la condition féminine. L'École des femmes est un triomphe où Armande Béjart tient le rôle d'Agnès. En 1663, à cause des dévôts qui considèrent Molière comme un libertin et L'École des femmes comme une pièce obscène et irréligieuse, mais également parce que Molière est le premier comédien à avoir reçu une pension directe du roi, il est attaqué dans sa vie privée : on insinue qu'il a épousé sa propre fille. Le 1er juin il réplique par La Critique de l'école des femmes et, le 18 octobre, il joue devant le roi L'Impromptu de Versailles, qui donne également d'éclairantes précisions sur le fonctionnement d'une troupe de théâtre au XVIIe siècle.


Le 29 janvier 1664, Molière présente au Louvre Le Mariage forcé, où le roi danse, costumé en Égyptien. Il est ensuite nommé responsable des divertissements de la cour et, du 8 au 13 mai, il préside les Plaisirs de l'Île enchantée, divertissement présenté à Versailles en l'honneur de la nouvelle maîtresse du roi, Mlle de La Vallière. Il y donne La Princesse d'Élide qui mêle texte, musique et danse, et recourt à des machines sophistiquées et une première version en trois actes du Tartuffe que, sous la pression des dévôts, Louis XIV se voit dans l'obligation d'interdire pendant cinq ans. Cet épisode est demeuré célèbre sous le nom de « cabale des dévôts ». Cette même année, la troupe de Molière joue La Thébaïde, première pièce de Racine.


En 1665, on joue seulement quinze représentations du désormais célèbre Dom Juan. La troupe, soutenue par le roi, devient la Troupe du Roy et reçoit une pension de 6 000 livres par an, ce qui ne fait pas grand-chose lorsqu'on sait que la recette d'une représentation réussie est d'environ 1 800 livres.



Le 15 septembre 1665, Molière donne L'Amour médecin et le 27 novembre, malade d'une "fluxion" qui était probablement la tuberculose, Molière est écarté de la scène pour deux mois. Le 4 décembre, la troupe joue Alexandre le Grand de Racine qui, déçu par l'interprétation, trahit Molière et confie sa pièce à l'Hôtel de Bourgogne.


QQR คืออะไร?
QQR เป็นคำย่อซึ่งคนโดยทั่วไปจะเข้าใจว่าหมายถึง Quinquennial Review คือ การทบทวนผลการดำเนินงานขององค์กรเพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น คำย่อตามความหมายแรกนี้ใช้กันแพร่หลายมาหลายสิบปีแล้ว แต่ถ้าหมายถึงเรื่องเอดส์ จะย่อมาจาก Quality, Quantity และ Route of Transmission หมายถึง การที่เชื้อเอชไอวีจะติดต่อถึงคนอื่นได้จะต้องมี 3 ปัจจัยหลักดังกล่าวคือ Quality คือ คุณภาพของเชื้อไวรัสจะต้องแข็งแรงพอ Quantity คือ ปริมาณของเชื้อไวรัสจะต้องมากพอ และ Route of Transmission คือ ต้องมีช่องทางที่จะสามารถให้เชื้อติดต่อไปถึงคนอื่นได้

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

กลอนฮาๆๆ
กุหลาบแรก คือ รักที่ปักอก
กุหลาบตก คือ รักที่จางหาย
กุหลาบสาม คือ รักที่มลาย
กุหลาบท้าย คือ เราเลิกจากกัน
++++++++++++++++++++++++++++

i love you พาสานอกไช้บอกรัก
ถ้ายากนักพาสาจีนหว่ออ้ายหนี่
พาสาลาว ข้อย ฮัก เจ้า ก้อเท่ดี
แต่ตอนนี้พาสาไทย ฉันรักเทอ
++++++++++++++++++++++++++++

บ้านรกต้องกวาด
ผ้าขาดต้องเย็บ
หัวใจตกต้องเก็บ
หัวใจเจ็บต้องจำ
++++++++++++++++++++++++++++

สุนทรภู่ครูกวีขี่สแมท
แบงค์วงแครชขี่นีโอโก้หนักหนา
เสกโลโซขี่นูโวตามหลังมา
ส่วนตัวข้าขี่หัวใจตามหาเธอ

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551



Internationaux de France de

Roland-Garros



Les Internationaux de France, ou Tournoi de Roland-Garros, ou tout simplement Roland-Garros, est un tournoi de tennis sur terre battue qui se tient annuellement depuis 1928 à Paris, dans le stade Roland Garros organisé par la Fédération Française de Tennis (FFT). Il se déroule sur la dernière semaine de mai et la première semaine de juin. Actuellement c'est l'un des quatre tournois du Grand Chelem, le second dans le calendrier après l'Open d'Australie qui se déroule en janvier. Suivent Wimbledon (dernière semaine de juin et première de juillet) puis l'US Open en août. Dans le monde du tennis, à majorité anglophone, le tournoi est aussi connu sous le nom de French Open (depuis 1968, première année de l'ère open). Les tenants du titre 2008 sont l'Espagnol Rafael Nadal (tenant du titre pour la quatrième année consécutive) et la Serbe Ana Ivanovic qui succède à Justine Henin.




C'est le plus grand tournoi du circuit sur terre battue et le seul tournoi du Grand Chelem se disputant encore sur cette surface, après que l'US Open l'eût abandonnée en 1978. Il est généralement considéré comme le second plus prestigieux tournoi de tennis au monde après Wimbledon[1] bien qu'il soit l'événement tennistique bénéficiant de la plus large audience et couverture médiatique à travers la planète[2]. De plus, de nombreux joueurs issus de régions du globe où le tennis se joue majoritairement sur terre battue, telles l'Amérique latine ou l'Europe du Sud, voient en Roland-Garros le plus important rendez-vous de l'année.




La surface sur laquelle se joue le tournoi, la terre battue, ralentit la balle et produit un rebond très haut, ce qui implique un style de jeu très différent de celui employé sur les surfaces rapides (Gazon, Decoturf, Rebound Ace) utilisées par les trois autres tournois du Grand Chelem. Cela explique pourquoi certains des plus grands joueurs de l'histoire, tels Jimmy Connors, Pete Sampras, Boris Becker ou l'actuel n°1 mondial Roger Federer, qui ont gagné à plusieurs reprises chacun des trois autres tournois, ont toujours échoué à remporter Roland-Garros, ne parvenant ainsi jamais à réaliser le Grand Chelem. A contrario, huit des dix derniers vainqueurs sur la terre battue parisienne ne se sont jamais imposés dans aucun autre tournoi du Grand Chelem[3]. En outre, du fait de la surface lente et des matches en cinq sets sans jeu décisif dans la dernière manche, Roland-Garros est considéré comme le tournoi de tennis le plus difficile et exigeant physiquement[4].