วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551




กินอะไร..อาจทำให้ง่วงได้



รู้ไหม ว่าอาหารที่พวกเราทานเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอนได้ แถมอาหารเหล่านี้ยังเป็นอาหารจานโปรดของใครต่อใครหลายๆ คนเลย


กาแฟ เคยได้ยินแต่กาแฟช่วยให้ไม่ง่วง แต่..ถ้าเราดื่มกาแฟในขณะที่กระเพาะอาหารยังว่างอยู่จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟไป 30 นาที คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะเข้าไปในกระแสเลือดและถูกส่งต่อไปที่สมอง โดยขณะนั้นเองออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปเลี้ยงสมองก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้ ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนตามมา


กล้วย ภายในกล้วยจะมีฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟริน ที่จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ดังนั้นถ้าเราทานกล้วยมากจนเกินไปก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกายได้


ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนได้


ครัวซองต์ จะมีปริมาณแป้งขัดขาวและไขมันมากซึ่งจะต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้นถ้าเราทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้น ร่างกายก็ต้องดึงเลือดจากสมองมาที่กระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้เลือดที่สมองมีไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการง่วงนอน


ขนมปังขาวและข้าวขาว เพราะมีสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วน ซึ่งทำให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลินออกมามาก ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน


ของหวาน เช่น เค้ก คุ้กกี้ จะทำให้วิตามินบีออกจากร่างกายเราเร็วขึ้นส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอน














































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551


สูดควันธูปเสี่ยงมะเร็ง



กลายเป็นข่าวดังชั่วข้ามคืนเมื่อทีมนักวิจัยไทยพบว่า ควันธูป มีสารก่อมะเร็งและมีศักยภาพในการซ่อมแซมความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่ลดลงในผู้ที่ได้รับควันธูปเป็นประจำ นับเป็นกลไกส่วนหนึ่งในการเหนี่ยวนำให้เกิดโรคมะเร็งได้ และการใช้ผ้าปิดจมูกไม่สามารถปิดกั้นสารกลุ่มนี้ได้ เนื่องจากควันธูปมีอนุภาคที่เล็กมาก

โดยจากข้อมูลในงานนำเสนอผลงานวิจัย "สารก่อมะเร็ง : ภัยเงียบที่มากับควันธูป" ณ อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าไอซียูโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ร่วมกับ ดร.พนิดา นวสัมฟทธิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำการวิจัยเรื่องการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของคนทำงานในวัด จากการสูดดมควันธูปซึ่งมีสารก่อมะเร็ง เนื่องจากพบว่าปัจจุบันโรคมะเร็งปอด เป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการตายอันดับต้น ๆ ของโรคมะเร็งที่พบมากทั้งเพศชายและเพศหญิง ถึงแม้ว่าสาเหตุการเกิดโรคส่วนใหญ่จะมาจากการสูบบุหรี่หรือได้รับมลพิษ แต่จากสถิติผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าร้อยละ 50 ไม่พบประวัติการสูบบุหรี่หรืออยู่ใก้ชิดกับผู้สูบบุหรี่


นพ.มนูญ ยังกล่าวต่อว่า ทีมวิจัยได้ทำการตรวจหาปริมาณสารก่อมะเร็งในอากาศซึ่งมีการจุดธูปปริมาณมากในวัด 3 แห่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ พร้อมทั้งทำการตรวจเลือดและปัสสาวะของคนทำงานของคนงานที่ปฏิบัติงานในวัดจำนวน 40 คน เปรียบเทียบกับคนงานส่วนใหญ่ที่ไม่มีการจุดธูปจำนวน 25 คน จากผลการวิจัยพบสารก่อมะเร็งในควันธูป 3 ชนิด คือ เบนซิน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน ซึ่งสารกลุ้มนี้ล้วนได้รับการยืนยันจากทั่วโลกว่าเป็นสารก่อมะเร็ง และปริมาณที่พบยังเข้มข้นสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้หลายสิบเท่า ซึ่งหากเปรียบเทียบง่าย ๆ จะพบว่า ธูป 1 ดอกที่จุด มีปริมาณสารก่อมะเร็งไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวนเลยทีเดียว นอกจากสารก่อมะเร็งที่พบในควันธูปยังต็มไปด้วยฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่เป็นต้นเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน โดยมีผู้ทำการวิจัยและรายงานไว้ว่าการจุดธูป 1 ดอกจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่ากับ 1 ใน 3 ของน้ำหนักธูป และหากจุดธูป 3 ดอก จะสามารถปล่อยมลพิษและสารก่อมะเร็งได้เท่ากับสี่แยกไฟแดงที่มีการจราจรคับคั่ง

นพ.มนูญ ยังได้กล่าวอีกว่า ธูปทุกชนิดล้วนมีสารก่อมะเร็งทั้งสิ้น ขณะที่ธูปไร้ควันและธูปอโรมา เคยมีงานวิจัยออกมาพบว่า มีการปล่อยสารเบนซินมากกว่าธูปธรรมดาด้วยซ้ำไป ถึงอย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีการรณรงค์เรื่องนี้ เช่น การรณรงค์ดับธูปก่อนปักลงกระถางเพื่อลดควัน หรือหลังจากจุดธูปเพื่ออธิษฐานแล้วให้ดับธูปทันที และในอนาคตภาคอุตสาหกรรมควรมีการผลิตธูปที่เมื่อจุดแล้วดับได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคนี้

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ศอกขาวเนียนด้วย เอนไซม์จากสับปะรด


เรื่องของข้อศอกดำ หัวเข้าด้าน ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้สาว ๆ หลายคนนั้น แทบจะเมินเสื้อสายเดี่ยว และมินิเเกิร์ตไปเลย เพราะไม่ว่าจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่ก็ทำให้ไม่มั่นใจเลย ดังนั้น วันนี้เราก็มีเคล้ดลับในการดูแลข้อศอก และหัวเข้าของคุณแบบง่าย ๆ ด้วยเอนไซม์จากธรรมชาติมาฝากกัน
เอนไซม์ที่ว่าก็มาจากผลไม้ที่เรียกว่า หาได้แทบทุกฤดูกาล นั่นคือ สับปะรด

ขั้นตอนทำสวยของเราก็ง่ายแสนง่าย เพียงนำเอาสับปะรด 1/4 ผล ไปสับให้ละเอียด จากนั้นก็นำเข้าตู้เย็นไว้ เมื่อได้เวลาอาบน้ำก็เปิดตู้เย็น หยิบสับปะรดที่เราเตรียมไว้ไปด้วย ซึ่งหลังจากที่เราอาบน้ำ ขัดผิวให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว นำสับปะรดเย็น ๆ ที่เตรียมไว้มาขัดให้ทั่วแขน ขา ข้อศอก และหัวเข่า จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 15 - 20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง ทาด้วยครีมบำรุงผิวที่คุณใช้อยู่เป็นประจำ
สูตรนี้สามารถทำได้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ควรจะเกินวันเว้นวัน แล้วรับรองว่า ผิวของคุณจะกลับมานุ่ม เนียน ไม่มีปัญหาข้อศอกดำ ด้าน หรือหัวเข่าดำคล้ำมาให้กังวลใจอีกแน่นอน