วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550
การดูแลสุขภาพอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและยุ่งยาก
แต่ที่จริงช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ แค่ 5 -15 นาที ก็ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นได้แบบง่ายๆ เป็นของขวัญวันต้นปีที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง โดยแบ่งเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่คุณทำอยู่แล้วประจำวัน แล้วเพิ่มรายละเอียดที่เราแนะนำเข้าไปอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ
ดื่มน้ำ 1 นาที ตอนตื่นนอน เมื่อตื่นนอนแล้วควรดื่มน้ำ1-2 แก้ว เพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะ และระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น หากกลัวลืมให้วางขวดและแก้วน้ำไว้ที่หัวเตียงก่อนนอน เพื่อที่จะดื่มได้ทันทีที่ตื่นขึ้น
หัวเราะ 15 นาที ก่อนอาหารเย็น ผลัดกันเล่าเรื่องตลกกับคนในครอบครัวคนละ 1 เรื่องทุกวัน และหัวเราะเต็มเสียงให้ลมผ่านปาก ลำคอ ปอด กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ - เล็ก จนรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหว หรือจนรู้สึกเกร็งหน้าท้อง เพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนมากขึ้น ฟอกปอด ป้องกันการเวียนหัว อ่อนเพลีย แถมยังเพิ่มความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย
เดินเพิ่มขึ้น 15 นาที ก่อนเริ่มงาน เปลี่ยนจากใช้ลิฟท์เป็นเดินขึ้น-ลงบันไดแทน หรือขยับไปจอดรถไกลขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้เดินไกลขึ้น โดยเดินให้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเพิ่มระยะทางการเดินขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน หากมีเวลาอาจไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับอากาศบริสุทธิ์ด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องนั่งโต๊ะทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและออกแรงบ้าง
กะพริบตาทุก 15 นาที เมื่ออยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ กะพริบตาเพิ่มขึ้น 1-2 ครั้ง ทุก 15 นาที และเมื่อเลิกใช้คอมพิวเตอร์ให้กระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้ตาไม่แห้งเกินไป
ล้างมือ 1 นาที ก่อนเข้าห้องน้ำ มีงานวิจัยพบว่าคนเข้าห้องน้ำโดยไม่ล้างมือมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากว่าคนที่ล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำ แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่การล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำก็ช่วยให้มือคุณสะอาดจากเชื้อโรคหากต้องสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นและไม่ก่อโรคให้ตัวเองแบบไม่ตั้งใจ ที่สำคัญออกจากห้องน้ำแล้วอย่าลืมล้างมืออีกครั้ง
หยุดกิน 5 นาที ก่อนอิ่มจริง ทุกครั้งเวลากินอาหารมื้อหลัก ให้หยุดกินก่อนอิ่มจริง 5 นาที และควรกินอาหารแค่ "เกือบอิ่ม" เท่านั้น กระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 2 คืนติดต่อกัน ฮอร์โมนGhrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดความหิวนั้น เพิ่มขึ้นถึง 28%นักวิจัยพบว่า การนอนหลับเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 2 คืนติดต่อกัน จะทำให้ ฮอร์โมน leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ไม่อยากอาหาร ลดลงถึง 18% และฮอร์โมนGhrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดความหิวนั้น เพิ่มขึ้นถึง 28%อาสาสมัครรายงานว่า ความรู้สึกหิวของตนเองเพิ่มขึ้นถึง 24 % และนอกจากนั้นลักษณะอาหารที่ตนเองต้องการก็เปลี่ยนไปด้วย โดยมีความอยากอาหารหวาน ๆ เช่น ลูกกวาด คุ้กกี้ อาหารเค็ม ๆ เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ ถั่วอบ และอาหารประเภทแป้ง เช่น ขนมปังและ พาสต้า มากขึ้น ในขณะที่ความอยากอาหารในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ กลับลดน้อยลง
การนอนหลับเป็นปัจจัยหลักในการควบคุมฮอร์โมนความหิว ศาสตราจารย์ Eve Van Cauter กล่าวว่า "เนื่องจากการที่สมองเป็นอวัยวะที่ใช้ Glucose เป็นพลังงาน จึงเป็นเหตุให้ อาสาสมัครเหล่านั้น เลือกรับประทานอาหารกลุ่มที่เป็น คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (เช่น แป้งขัดขาว น้ำตาลทรายขาว) เพื่อชดเชยการนอนไม่พอ"การวิจัยในครั้งแรกนี้แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับเป็นปัจจัยหลักในการควบคุมฮอร์โมนความหิว 2 ตัวนี้ ซึ่งทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความอยากอาหารและรวมไปถึงการเลือกชนิดของอาหารในการรับประทานด้วย"การค้นพบนี้ทำให้พบเหตุเชื่อมโยงระหว่างปัญหาการนอนไม่หลับเรื้อรังกับโรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง Metabolic syndrome รวมไปถึงโรคเบาหวานด้วย"
ถ้าไม่อยากอ้วนและได้ผลพวงของโรคจากความอ้วนเป็นของแถม นอกจากการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายแล้ว ก็ควรเข้านอนแต่หัวค่ำสรุปว่า ถ้าไม่อยากอ้วนและได้ผลพวงของโรคจากความอ้วนเป็นของแถม นอกจากการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายแล้ว ก็ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ และควรจะนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน จะดีต่อสุขภาพที่สุด รับรอง
ท้องว่าง อย่ากิน...
ที่บอกว่าท้องว่าง อย่ากิน นั้นน่ะ ...
ไม่ได้หมายความว่า ห้ามกินอาหารแล้วปล่อยให้ท้องว่างต่อไปหรอกนะ แต่หมายถึงเวลาท้องว่างไม่ควรกินอาหารที่จะบอกต่อไปนี้ต่างหากล่ะ
นม
ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลืองก็ไม่ควรดื่ม นอกจากว่าจะกินกับขนมปังหรืออาหารจำพวกแป้ง
กล้วย
หลายคนคิดว่าเวลาท้องว่างต้องกินกล้วย แต่ผิด!! ถ้าเรากินกล้วยเวลาท้องว่าง จะส่งผลให้ปริมาณแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น เพราะในกล้วยมีธาตุแมกนีเซียมสูงมาก และเกิดความไม่สมดุลกันระหว่างแคลเซียมและแมกนีเซียมในกระแสเลือด ซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจผักการกินแต่ผักอย่างเดียวเวลาท้องว่างก็จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ
น้ำตาล
น้ำตาลหรืออาหารรสหวาน เพราะเมื่อโปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลก็จะเป็นการลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต และส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีน
ชาชงแก่ๆ
จะทำให้เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
กระเทียม
คิดว่าคงไม่มีใครกินกระเทียมเปล่าๆ เวลาท้องว่าง แต่ก็จะบอกไว้ว่ากระเทียมจะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร และทำให้เกิดอาการอักเสบอย่างรุนแรง
ลูกพลับ
ยางของลูกพลับเมื่อรวมตัวกับน้ำย่อยแล้ว จะทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ท้องว่างๆ ดื่มแต่แอลกอฮอล์อย่าเดียวก็ระวังโรคกระเพาะจะถามหาเอาได้นะ
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบทานอาหารประเภทยำ ๆ โปรดฟังทางนี้
ทางกระทรวงสาธารณสุขได้เตือนให้ประชาชนระวังการบริโภคผักบุ้งผักกระเฉดที่ไม่ผ่านการต้มเดือดถึง 500 องศาเซลเซียสว่าอาจจะได้รับอันตรายจากศัตรูตัวใหม่ที่เรียกว่า "ไข่ปลิง" เพราะเจ้าไข่ปลิงตัวนี้สามารถทนความร้อนได้สูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าท่านจะรับประทานผักบุ้งหรือผักกระเฉดต้องต้มกันเป็นชั่วโมงถึงจะสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นท่านจึงควรรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยกรรมวิธีอื่นจะดีกว่าประเภทยำเพราะส่วนใหญ่อาหารประเภทยำจะนำไปผ่านความร้อนเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเองก็นำขึ้นมารับประทานแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถทำลายไข่ปลิงได้ ถ้าให้ดีควรเลี่ยงไปรับประทานผักชนิดอื่นจะดีกว่า เพราะขั้นตอนในการทำความสะอาดก่อนจะนำมาต้มจะง่ายกว่าการทำความสะอาดผักบุ้งและผักกระเฉด มีนักศึกษาแพทย์ศิริราชเคยไปทานสุกี้ที่ร้านแห่งหนึ่งมีชื่อคล้าย เอ็ม. เค.ก่อนที่จะนำผักบุ้งใส่ในหม้อต้มน้ำ บังเอิญเธอผู้นั้นเหลือบไปเห็นเจ้าไข่ปลิงเกาะอยู่ที่ใบของผักบุ้งซึ่งเธอเพิ่งจะได้รับความรู้เกี่ยวกับอันตรายของไข่ปลิงมาจากหลักสูตรซึ่งเธอ เพิ่งจะเรียนผ่านมานี้เอง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไม่รับประทานผักบุ้งนั้นเลย และเปลี่ยนเป็นสั่งผักชนิดอื่นมารับประทานแทน
การทำ วุ้นกรอบ อร่อยน่ากิน จ้า
ส่วนผสม
ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 2 ถ้วยตวง
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550
วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2550
code
Arrivés vers -900 sur le territoire de la France actuelle, les Celtes en occupent l’ensemble au IIIe siècle av. J.-C.. Vers 680 av. J.-C., le littoral méditerranéen voit l’arrivée des premiers colons grecs, avec la fondation du comptoir d’Antibes.
La Gaule passe sous la domination romaine vers 125 av. J.-C. pour la Gaule narbonnaise, et en 51 av. J.-C., après la guerre des Gaules, pour le reste du territoire. Sous l’Empire, une civilisation gallo-romaine prospère se développe, apportant à la France une base de culture latine et conduisant indirectement à la christianisation, qui s’opère lentement du IIe au VIe siècle.
Haut Moyen Âge
La Gaule connaît à partir du Ve siècle l’époque des migrations barbares, avec la présence de plusieurs peuples, notamment les Burgondes, les Wisigoths et les Francs.
Une grande partie des régions constituant la France actuelle sont réunies sous Clovis en 507 (réunion sous la domination franque, ou regnum francorum, des Alamans, des Burgondes et des Wisigoths au nord des Pyrénées). Ce « royaume des Francs » qui s’exerce sur ce que l’on appelait encore la Gaule tire sa légitimité et son unité de sa romanité culturelle. Mais il est partagé puis réuni à de multiples reprises au gré des héritages des héritiers de Clovis (dynastie des Mérovingiens). Ces royaumes ultérieurs s’appellent Neustrie (Paris), Austrasie (Metz), Bourgogne (Chalon), Aquitaine (Bordeaux).À partir du milieu du VIIIe siècle Pépin le Bref, roi des Francs non mérovingien, étend considérablement le royaume des Francs, bientôt érigé en Empire par son fils Charlemagne et son petit-fils Louis le Pieux. Après la mort de Louis, son domaine est partagé en trois parties où l’autorité centrale s’effondre rapidement, ramenant l’organisation de la région à la situation antérieure : la Francia orientalis (à l’est), la Francia occidentalis (à l’ouest) et entre les deux l’éphémère Lotharingie, domaine d’un empereur très théorique. La partie orientale correspond à ce qui devint plus tard l’Allemagne et la partie occidentale, à la France. C’est de 842, avec les serments de Strasbourg passés entre les petits-fils de Charlemagne, que date la source la plus ancienne attestant l’usage de deux langues différentes de part et d’autre du Rhin (le tudesque et le roman). Ce texte a donc souvent été présenté comme l’acte fondateur de la France (et de l’Allemagne). Des descendants de Charlemagne — les Carolingiens — conservent une influence symbolique sur des territoires correspondant très grossièrement à la France jusqu’en 987, date à laquelle le duc Hugues Capet est élu roi des Francs
Les premiers rois de la dynastie étendent progressivement le domaine royal, consolident la royauté franque malgré l’opposition des Plantagenêts, qui se matérialise par la guerre de Cent Ans. Mais ce n’est qu’à la fin du XIIe siècle que Philippe Auguste étend pour la troisième fois en un millénaire l’autorité du roi des Francs des Pyrénées à la Manche. C’est à cette époque qu’on commence à employer l’expression royaume de France, et que celui-ci acquiert un poids comparable à celui de l’Angleterre ou du Saint Empire romain germanique. Les derniers siècles du Moyen Âge, marqués par les crises de la Guerre de Cent Ans et de la peste noire, renforcent finalement l’autorité royale, qui ne devient incontestable qu’au XVe siècle, avec Louis XI.
Il faut attendre Henri IV, puis Louis XIII et son ministre Richelieu, pour que la prépondérance espagnole soit remise en cause au profit de la France. Malgré la disparition prématurée de ces acteurs, l’équilibre des forces est rétabli puis renversé, par de grands politiques comme Mazarin, notamment en 1648 (traité de Westphalie) et 1659 (traité des Pyrénées).Dans le domaine colonial, le bilan est en revanche mitigé : malgré un bon départ en Amérique avec l’expédition de Jacques Cartier sous François Ier, une implantation réussie aux Antilles, en Louisiane, et au Sénégal sous Louis XIV, le manque de détermination de Louis XV a conduit à de graves échecs devant les Anglais en Inde et au Canada, et, ainsi, à rompre la dynamique créée par ses prédécesseurs.
Haut Moyen Âge
Une grande partie des régions constituant la France actuelle sont réunies sous Clovis en 507 (réunion sous la domination franque, ou regnum francorum, des Alamans, des Burgondes et des Wisigoths au nord des Pyrénées). Ce « royaume des Francs » qui s’exerce sur ce que l’on appelait encore la Gaule tire sa légitimité et son unité de sa romanité culturelle. Mais il est partagé puis réuni à de multiples reprises au gré des héritages des héritiers de Clovis (dynastie des Mérovingiens). Ces royaumes ultérieurs s’appellent Neustrie (Paris), Austrasie (Metz), Bourgogne (Chalon), Aquitaine (Bordeaux).
À partir du milieu du VIIIe siècle Pépin le Bref, roi des Francs non mérovingien, étend considérablement le royaume des Francs, bientôt érigé en Empire par son fils Charlemagne et son petit-fils Louis le Pieux. Après la mort de Louis, son domaine est partagé en trois parties où l’autorité centrale s’effondre rapidement, ramenant l’organisation de la région à la situation antérieure : la Francia orientalis (à l’est), la Francia occidentalis (à l’ouest) et entre les deux l’éphémère Lotharingie, domaine d’un empereur très théorique. La partie orientale correspond à ce qui devint plus tard l’Allemagne et la partie occidentale, à la France. C’est de 842, avec les serments de Strasbourg passés entre les petits-fils de Charlemagne, que date la source la plus ancienne attestant l’usage de deux langues différentes de part et d’autre du Rhin (le tudesque et le roman). Ce texte a donc souvent été présenté comme l’acte fondateur de la France (et de l’Allemagne). Des descendants de Charlemagne — les Carolingiens — conservent une influence symbolique sur des territoires correspondant très grossièrement à la France jusqu’en 987, date à laquelle le duc Hugues Capet est élu roi des Francs.
Les difficultés financières, le refus des réformes et l’impatience du peuple conduisent à la Révolution française, de 1789 à 1799. Cet épisode marquant dans la construction de l’histoire nationale voit naître notamment la Déclaration des droits de l’homme et du citoyen de 1789 et de la promotion des idéaux de liberté, égalité, fraternité.
La Révolution se déroule en plusieurs phases et commence par un essai de monarchie constitutionnelle, avec la réunion des États généraux, puis la prise de la Bastille le 14 juillet 1789, les troubles politiques et sociaux (opposition du tiers état face à la noblesse) aboutissent à la chute de la monarchie, le 10 août 1792. L’ébullition révolutionnaire conduit à une succession de régimes (République de la Convention, Directoire, Consulat) en conflit quasi permanent avec les autres pays européens inquiets d’une propagation des idées républicaines.
À partir de 1799, Napoléon Bonaparte prend le pouvoir, d’abord comme Premier consul, puis comme empereur. Cette période voit l’instauration de nouvelles institutions, tandis que la France s’étend à travers l’Europe avant une période de revirements militaires. L’épisode s’achève par la restauration des Bourbons en 1815.
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2550
Généralement, on distingue trois types de pommes alimentaires : les pommes à cidre, les pommes de table ou pommes à couteau et les pommes à cuire qui appartiennent à un des deux premiers types mais supportent bien la cuisson. Ces trois types sont issus de l'espèce Malus pumila qui compte plus de 20 000 variétés à travers le monde.
Plusieurs boissons sont élaborées à base de pommes, en particulier le jus de pomme sans fermentation, sucré et non alcoolisé, et le cidre produit à partir de la fermentation de ce jus.
Sa taille est très variable selon les variétés et les conditions de végétation. Sa couleur à maturité, allant du vert « pomme » au rouge plus ou moins foncé en passant par une grande variété d'intermédiaires vert pâle, jaune, orangé ou de couleurs plus ou moins panachées.
Au sommet du fruit (côté opposé à celui de l'insertion du pédoncule), on peut voir les restes des sépales desséchés. En effet, la pomme est issue d'une fleur dite « à ovaire » infère et adhérent, c'est-à-dire que le périanthe, sépales et pétales, se trouve au sommet de l'ovaire et que ce dernier est soudé au réceptacle floral.
Sur le plan botanique, la pomme est un fruit complexe, intermédiaire entre la baie et la drupe. Certains botanistes appellent « piridion » ce type de fruit, typique de la tribu des Maleae.
Dans une coupe transversale, on peut voir au centre, les pépins (les graines) au nombre de deux dans chacune des cinq loges de l'ovaire initial, entourée d'une enveloppe sclérifiée (ce qui rappelle le noyau d'une drupe), l'ensemble étant lui-même entouré d'une pulpe mince, qui correspond au développement de la paroi de l'ovaire. Puis une mince membrane fibreuse marque la séparation avec le réceptacle qui s'est considérablement épaissi pour former l'essentiel de la chair du fruit. En sorte que ce que nous mangeons a en fait la nature d'une induvie, c'est l'enveloppe du fruit, celui-ci constituant le trognon.